ฮาร์ฟมาราธอนแรกที่ภูเก็ต
ภูเก็ตมาราธอนเกิดจากการอยากเริ่มทำอะไรสักอย่างให้ดูต่อเนื่องเป็นชิ้นเป็นอัน และมีผลลัพธ์ที่สามารถภูมิใจตัวเองได้บ้าง สรุปเลยเลือกที่จะวิ่งฮาล์ฟมาราธอน (ระยะทาง 21 กม.) นี่แหละ เพราะคนเท่ๆเค้ามักจะวิ่งกัน
โค้ชใน Application Nike Run+ คำนวนออกมาเป็นตารางให้เรียบร้อย น่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนครึ่งในการวิ่งให้ถึงฮาล์ฟมาราธอนและเข้าเส้นชัยในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่
เพื่อมีเป้าหมายให้ยึดเหนื่ยว เลยไปนั่งหาข้อมูลว่าในช่วง 3 เดือนนี้จะมีงานวิ่งไหนบ้างที่พอจะลงได้ ก็พบว่ามีงานภูเก็ตมาราธอนนี่แหละ น่าจะเป็นงานที่เหมาะสมที่สุด ต้องบินไปภูเก็ตเพื่อไปวิ่งด้วย ยิ่งดูคูลสัดๆ ลงสมัครแล้ว ก็ทำการไปโม้ให้คนอื่นฟัง นั่นแปลว่าถอยหลังไม่ได้ละนะ
- ก่อนไปสัปดาห์นึงไม่ได้วิ่งเลย เพราะติดธุระ ทำให้กังวลนิดหน่อย ว่าวันจริงจะวิ่งไหวมั้ย
- 10 กิโลแรกรู้สึกดีมากๆ บรรยากาศของการแข่งทำให้เราเหนื่อยยากกว่าปกติ พยายามวิ่งให้ได้ Pace ที่ 6-6.20 ตามที่ซ้อมมา (Pace เป็นหน่วยวัดความเร็วของการวิ่ง ซึ่งหมายถึงเวลาที่เราใช้วิ่งในระยะ 1 กม. เช่น Pace 6 แปลว่า วิ่ง 1 กม. ใช้เวลา 6 นาที ยิ่งน้อยแปลว่ายิ่งวิ่งเร็ว)
- ช่วงประมาณกม. ที่ 10 เหมือนจะมีคนที่วิ่งนำของระยะมาราธอนวิ่งส่วนกลับมาแล้ว ทุกคนในระยะฮาล์ฟปรบมือให้ พร้อมกับตะโกนเชียร์ เป็นความรู้สึกที่เจ๋งดี เราก็ปรบมือให้เค้าเหมือนกัน
- หลังจากกม.ที่ 10 การได้เอาน้ำเย็นราดต้นคอ ให้ความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่ในเสี้ยววินาที
- ระหว่างนั้นจะมีชาวบ้าน 2 กลุ่มที่มาดูเรา กลุ่มแรกคือรถติดเพราะปิดถนน ทำหน้าเหมือนอยากเข้ามาเตะตัดขาเรา กลุ่มที่สองมาเชียร์ มากันทั้งบ้าน ปูเสื่อนั่งหน้าบ้าน ปรบมือให้ ตะโกนเชียร์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามันมีความหมายกับคนที่กำลังวิ่งมาก เราไม่รู้จักกันนะ แต่เรามีความรู้สึกดีให้กัน โรแมนติกเวอร์
- 16 กม.แรกไม่ได้หยุดเดินเลยแม้แต่ก้าวเดียว (ยกเว้นตอนกินน้ำ ซึ่งไม่เกิน 5 วินาที) ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างแท้จริง
- ตั้งแต่กม.ที่ 17 เป็นต้นไป ขาทั้ง 2 ข้างเหมือนไม่ใช่ขาของตัวเอง ถ้าไม่รักษาสมาธิเอาไว้ ขามันเหมือนจะหยุดวิ่งซะเฉยๆ อาการเจ็บเข่าด้านนอกที่เคยกลัวไว้กลับมาแทบจะทันที ไม่สามารถรักษารูปแบบการลงเท้าได้ เพราะกล้ามเนื้อไม่มีแรง ยิ่งทำให้เข่าเริ่มเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ
- ตั้งแต่กม.ที่ 17 มีนักวิ่งผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง เป็นชาวเอเชียแน่ๆ และคิดว่าไม่ใช่คนไทย วิ่งไล่เลี่ยกันมาเรื่อยๆ และค่อยๆวิ่งลับตาไป การวิ่งตามผู้หญิงคนนี้เป็นเหตุผลเดียวเลยที่ทำให้เราไม่หยุดเดินซะก่อน (“รอก่อนซิว้อยยยย” เป็นสิ่งที่คิดอยู่ในใจตลอดเวลาที่วิ่งไล่ตามหลังผู้หญิงคนนี้ไปจนกระทั่งถึงเส้นชัย)
- เข้าเส้นชัยที่เวลา 2 ชม. 15 นาที เกินจากที่ตั้งใจไว้ 15 นาที
- ดูจากข้อมูลแล้วเหมือนจะวิ่งได้ตามแผน คือ Nagative Split แต่ทำไมร่างกายเริ่มพังตอนกม.ที่ 17 วะ พอมาดูข้อมูลจาก Strava ก็พบว่า ตั้งแต่กม.ที่ 10 Pace ก็พุ่งไปถึง 5.35 ซึ่งเร็วเกินไปแล้วสัด ทั้งที่ตอนวิ่งไม่รู้สึกว่าเร็วมาก และไม่ได้สังเกตุเลยว่า Heart Rate พุ่งไปที่ 181 แล้ว ร่างกายยังรู้สึกว่าเป็นปกติดี ไม่มีเหนื่อยหอบ
- เป็นตัวเลขที่ดูน่ากลัวมาก เมื่อพบว่าวิ่งที่ Pace 5 ตั้งแต่กม.ที่ 10 จริงๆตามแผนแล้วควรจะเป็นกม.ที่ 15-16 ซึ่งนี่น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงรู้สึกเหมือนวิ่งขึ้นเขาตลอดเวลาตั้งแต่กม.ที่ 17 จนถึง กม. ที่ 21
- ส่วน Heart Rate ถือว่าทำได้ดี จากที่เคยอ่านมา การซ้อมวิ่ง กล้ามเนื้อหัวใจพัฒนาได้เร็วกกว่าส่วนอื่นๆของร่างกายมาก ทำให้หัวใจยังโอเค แม้ว่ากล้ามเนื้อขาและหัวเข่าจะหมดสภาพไปแล้ว
- สรุปปัญหาของการวิ่งครั้งนี้คือไม่รู้ Pace แบบ Real Time ของตัวเอง เพราะ Strava ใน Apple Watch นั้นบอกแต่ Avg. Pace
- เป้าหมายต่อไปคือ Human Run Half Marathon ซึ่งมีเวลาอีกประมาณ 3 เดือน ที่จะเข้าเส้นชัยภายใน 2 ชม.
แล้วเจอกัน!
Comments