Chicago Marathon 2022

ชิคาโก้มาราธอน 2022 เป็นงานที่ตั้งใจซ้อมพอสมควร เพราะคิดว่าการ Lotto ได้เมเจอร์มาราธอนคงไม่ได้มีโอกาสบ่อยนัก อย่างโตเกียวเองก็สมัครมา 7 ปีแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เลย

เริ่มจากพยากรณ์อากาศบอกว่าอุณหภูมิเช้าวันที่ 9 ตุลาจะอยู่ที่ 6 องศาเซลเซียส (แต่ feel like 4 องศาเซลเซียส) เห็นแล้วใจแป้วเพราะเป็นคนขี้หนาว วันที่ 8 เลยลองวิ่งประมาณ 5km พบว่ามีอาการปวดหู (อย่างที่ชอบเป็นเวลาวิ่งอากาศเลขตัวเดียว) วันจริงเลยต้องเพิ่มถุงมือกับหมวกไหมพรม รู้สึกรุงรังมาก

ก่อนวิ่งมีใส่เสื้อกันลมไปด้วย แต่ตัดสินใจไม่ใส่วิ่งเพราะคิดว่าถ้าได้วิ่งจริงแล้ว อุณหภูมิร่างกายก็จะอุ่นขึ้นเอง เลยฝากไว้ที่จุด Gear Check เดี๋ยววิ่งจบมาเอาคืน

จุดที่ลำบากสุดคือการยืนรอที่จุดปล่อยตัวแบบไม่มีเสื้อกันลม 45 นาที รู้สึกเหมือนแจ็คที่ต้องลอยคอใกล้จะแข็งตายอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก

สังเกตว่าหลายคนรอบตัวแต่งตัวมาเหมือนชุดนอน คือมึงจะวิ่งทั้งแบบนี้จริงๆใข่มั้ยนะ แต่พอถึงเวลาปล่อยตัว พี่ๆก็ถอดเสื้อ-กางเกงสเวตเตอร์โยนทิ้งเฉยเลย ไม่ใช่ 1-2 คนด้วย แต่เป็นพันๆคน โอ้ย ไม่เห็นมีใครบอกเลยวะะะะะ

ออกตัววิบากเล็กน้อยเพราะต้องคอยโดดหลบสเวตเตอร์หลายร้อยตัวที่พื้น

ออกตัวรู้สึกวิ่งดีมากๆ เข้ากม.5 รู้สึกตึงที่ต้นขานิดๆ ทำให้ไม่สบายใจเท่าไหร่ แต่ยังคงพยายามรักษา Pace 5:30 ต่อไปได้ ไม่มีปัญหา ถ้าวิ่งได้แบบนี้ จบภายใน 4 ชั่วโมง

การจบ Sub 4 ถือเป็นเป้าหมายมาตลอด แม้จะไม่กล้าบอกใคร แต่ลึกๆแล้วยังยึดตัวเลขนี้เป็นหลัก ถ้าเลี้ยงความเร็วให้ไม่เกิน 5:39 ไปเรื่อยๆ น่าจะทำได้ 10 กม.แรกน่าจะทำได้ที่ 5:20 ด้วยซ้ำ มีตุนไว้ประมาณนึง

ระหว่างทางกองเชียร์เชียร์กันอย่างเมามันส์ ตะโกนกันสุดเสียง มันคือ Event ของเมืองจริงๆ ทุกคนเอ็นจอยมากๆ (และเป็นแบบนี้ต่อเนื่องไปอีก 42.195 กม.) ภาพตัดมางานบ้านเราจะเห็นคนยืนค้อนอยู่ตามไฟแดง อ่านสายตาได้ว่า “คนจะทำมาหาแดกมึงจะมาปิดถนนวิ่งอะไรของมึง”

เห็นพลังงานแบบนี้แม้เค้าจะไม่ได้ตะโกนเรียกชื่อเรา แต่บางที่ก็อดที่จะน้ำตาเอ่อออกมาไม่ได้

การวิ่ง 42.195 กม. มันเลยคำว่าวิ่งเพื่อสุขภาพไปไกลมาก สำหรับทุกคนที่ลงมาราธอน มันเป็นเรื่องของศรัทธาและจิตวิญญาณไปเลย ซึ่งคนที่ยืนเชียร์ก็เข้าใจมันอย่างดี จุดนี้ทำให้ซึ้งใจน้ำตาไหล

21 กม.ผ่านไป ตะคริวขึ้นที่ต้นขาพร้อมกัน 2 ข้างทันที (ตลอดการซ้อม มาราธอน และฮาล์ฟมาราธอนที่เคยวิ่งมาก่อนหน้านี้หลายพันกิโล ไม่เคยพอเจอว่ามีอาการตะคริวขึ้นมาก่อน ทำให้ดีลไม่ถูกเท่าไหร่ว่าต้องทำยังไงต่อ) พยายามฝืนวิ่งก็พบว่ากล้ามเนื้อแข็งเกร็งขึ้นเรื่อยๆ หยุดเดินก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น สุดท้ายต้องยอมหยุดเพื่อยืดกล้ามเนื่อ และรับยานวดเย็นๆ มานวดๆเอง ไม่มีคนมานวดให้เหมือนบ้านเรา

ทุกๆ 500 เมตรตะคริวจะกลับมาใหม่เสมอ

ผ่านไป 25 กม.เริ่มมีความคิดแล้วว่าจะไม่จบรึเปล่า เพราะไม่ได้เหนื่อน จิตใจไม่อ่อนล้า แต่ขาก้าวไม่ออก เสียงเชียร์ดังแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย ในเมื่อกล้ามเนื้อต้นขาเหมือนไม่ได้เป็นของเราอีกต่อไป

พอมีความคิดว่าจะไม่จบก็ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หลายวัน ที่เคยพูดกับชาวบ้านไว้ว่าจบแน่ๆ แต่ถ้าได้ Sub 4 จะดีใจมาก

กม.ที่ 25 รู้เลยว่าความหวังในการจบ Sub 4 มลายหายไปเรียบร้อย รู้สึกโหวงเหวงพิกล ประกอบกับความปวดตะคริว เอาจริงๆ หลายจังหวะคืออยากร้องไห้ออกมาเหมือนกัน

พอวิ่งเร็วไม่ได้ ร่างกายเริ่มเย็น อากาศก็เริ่มกลับมาหนาวอีกครั้ง

กัดฟันวิ่งไปจน กม. 35 เริ่มหยุดเพื่อให้อาสาสมัครมานวดให้ ซึ่งน้องอาสาสมัครก็นวดเบามากกกกกกกก อยากจับไปเรียนที่ Healthland จริงๆ แต่น้องนวดไปให้กำลังใจไป มันก็ซึ้งอยู่

เลยกม.35 ไป เสียงเชียร์ที่ไม่มีความหมายเริ่มกลับมามีความหมายอีกครั้ง แปลกดี

วิ่งไป เดินไปยืดไปเรื่อยๆ ตอนนี้เริ่มคิดว่าน่าจะจบได้แล้วล่ะ ส่วนเวลาช่างแม่ง

2 กม.สุดเริ่มกลับเข้ามาวิ่งในเมือง เสียงเชียร์ดังสนั่นหวั่นไหวอีกครั้งนึง

ส่วนตะคริวไม่มีลงแล้ว ไม่ว่าจะพ่นสเปรย์ ใช้ยานวด ไม่มีผล พยายามหยุดยืดแล้วได้ผลเล็กน้อย พอให้วิ่งได้

“You can smell the finish line now!”

ใครสักคนตะโกนมา เปรียบเทียบได้ดี

1 กม. สุดท้ายวิ่งเข้าเส้นชัยอย่างเงียบงัน ไม่มีความรู้สึกอะไรเอ่อล้นออกมาเหมือนที่เคยคิดไว้ อาสาสมัครหลายร้อยคนกล่าวแสดงความยินดี

เดินไปรับเหรียญ น้ำ กล้วย แอ๊ปเปิ้ล เบียร์(กินไปนิดหน่อยแล้วก็โยนทิ้งไป)

เช้าวันรุ่งขึ้น Instagram ของ Chicago Marathon โพสรูปเหรียญแล้วบอกว่าให้สวมมันออกมาอย่างภาคภูมิใจกันนะ มันเป็นสัญลักษณ์ที่บอกถึงความมุ่งมั่นศรัทธาและความเข้มแข็งของ Finisher ทุกคน

เลยใส่ออกมาเดินเล่นซะเลย

พบว่าทุกคนก็ใส่กันออกมาเหมือนกัน ใครเห็นเหรียญที่ห้อยคอก็มองตาแล้วยิ้มให้กัน มันมีความหมายแบบที่เข้าใจกันเอง เหมือนเพื่อนร่วมรบ ไม่จำเป็นต้องมีภาษาเป็นตัวกลาง

เห็นคนเดินเป็นซอมบี้ขึ้นลงบันใด ก็ยกนิ้วโป้งให้กัน

เยี่ยมเลย ความรู้สึกที่เคยคิดว่าจะเอ่อล้นออกมาตอนเข้าเส้นชัย กลับเอ่อล้นออกมาตอนนี้แทน เป็นความอิ่มเอมใจที่อย่างน้อย เราได้ทำมันอย่างเติมที่ แม้จะไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้

ผ่านไป 2 วันอาการล้าก็หายไป แต่ส่วนที่เป็นตะคริวยังปวดอยู่ทั้ง 2 ข้าง

ปกติเวลาจบ Race แล้วจะมีความรู้สึกไม่อยากวิ่งไปสักพัก แต่ตอนนี้ยังรู้สึกยากวิ่งอยู่เลย เจ๋งดี เดี๋ยวกลับถึงไทยจะรีบซ้อมต่อเลย

เขียนยาวมากเพราะปีหน้า On This Day อยากกลับมาอ่านอีกครั้งนึง จะเสียดายมากถ้าความรู้สึกนี้หายไป 😁

Comments

Share via
Copy link
Powered by Social Snap